Logo video2dn
  • Сохранить видео с ютуба
  • Категории
    • Музыка
    • Кино и Анимация
    • Автомобили
    • Животные
    • Спорт
    • Путешествия
    • Игры
    • Люди и Блоги
    • Юмор
    • Развлечения
    • Новости и Политика
    • Howto и Стиль
    • Diy своими руками
    • Образование
    • Наука и Технологии
    • Некоммерческие Организации
  • О сайте

Скачать или смотреть ทำไมจิตถึงเศร้าหมอง พระสารีบุตรถาม พระพุทธเจ้า

  • เล่าธรรมะ
  • 2025-07-31
  • 2010
ทำไมจิตถึงเศร้าหมอง พระสารีบุตรถาม พระพุทธเจ้า
  • ok logo

Скачать ทำไมจิตถึงเศร้าหมอง พระสารีบุตรถาม พระพุทธเจ้า бесплатно в качестве 4к (2к / 1080p)

У нас вы можете скачать бесплатно ทำไมจิตถึงเศร้าหมอง พระสารีบุตรถาม พระพุทธเจ้า или посмотреть видео с ютуба в максимальном доступном качестве.

Для скачивания выберите вариант из формы ниже:

  • Информация по загрузке:

Cкачать музыку ทำไมจิตถึงเศร้าหมอง พระสารีบุตรถาม พระพุทธเจ้า бесплатно в формате MP3:

Если иконки загрузки не отобразились, ПОЖАЛУЙСТА, НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если у вас возникли трудности с загрузкой, пожалуйста, свяжитесь с нами по контактам, указанным в нижней части страницы.
Спасибо за использование сервиса video2dn.com

Описание к видео ทำไมจิตถึงเศร้าหมอง พระสารีบุตรถาม พระพุทธเจ้า

คุณเคยรู้หรือไม่ว่า จิตของเรานั้นมีธรรมะบางอย่างที่ทำให้เศร้าหมองได้ แม้จะเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้วก็ตาม แม้จะฟังธรรมแล้วก็ตาม หากยังไม่รู้เท่าทันธรรมที่ชื่อว่าอุปกิเลส จิตก็ยังไม่พ้นจากความเศร้าหมองได้

พระสารีบุตรได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า อะไรคือธรรมที่ไม่ควรเจริญ อะไรคือธรรมที่ควรเจริญ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมที่ไม่ควรเจริญ คือธรรมที่เจริญแล้วทำให้เกิดราคะ ทำให้เกิดโทสะ ทำให้เกิดโมหะ ทำให้เกิดมานะ และทำให้จิตเศร้าหมอง ธรรมเหล่านี้แม้จะดูเหมือนดีในเบื้องต้น แต่เมื่อเจริญแล้วจิตจะไม่สงบ ไม่ผ่องใส เช่น การครุ่นคิดในสิ่งที่พึงโกรธ ความริษยา การสำรวมผิดทาง การภาวนาโดยไม่รู้ทางออก

ธรรมที่ควรเจริญ คือธรรมที่เจริญแล้วทำให้จิตสงบ ทำให้ละราคะ ละโทสะ ละโมหะ ทำให้จิตผ่องใส ไม่มีกิเลสเหนียวแน่นอยู่

พระสารีบุตรถามต่อว่า พระองค์จะทรงจำแนกธรรมเหล่านี้ให้แจ่มแจ้งเพื่อความเข้าใจของข้าพระองค์และหมู่สงฆ์ได้หรือไม่

พระพุทธเจ้าจึงตรัสจำแนกสิ่งที่เรียกว่า "อุปกิเลส" ซึ่งแปลว่า สิ่งเศร้าหมองของจิต หรือสิ่งที่ทำให้จิตไม่บริสุทธิ์

อุปกิเลสมี 16 อย่าง ได้แก่ 1. ราคะ 2. โทสะ 3. โมหะ 4. มานะ 5. ความเห็นผิด 6. ความลังเลสงสัย 7. ความเพลิดเพลินในโลก 8. ความเพลิดเพลินในกาม 9. ความเพลิดเพลินในอัตตา 10. ความเกียจคร้าน 11. ความประมาท 12. ความฟุ้งซ่าน 13. ความกำหนัด 14. ความริษยา 15. ความหดหู่ 16. ความหลงลืม

พระองค์ทรงอธิบายว่า ถ้าบุคคลใดเจริญธรรมแล้วธรรมที่เจริญนั้นกลับทำให้ราคะในใจเพิ่มขึ้น เช่น เจริญเมตตาแต่มีความหลงตนว่าตนมีเมตตา เจริญปัญญาแต่กลับยึดมั่นว่าตนเป็นผู้รู้ นั่นคืออุปกิเลสเข้าแทรกแล้ว

พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าพระองค์เคยภาวนาเพื่อให้จิตตั้งมั่น แต่กลับรู้สึกหงุดหงิด จึงละภาวนานั้นเสีย ต่อมาเมื่อจิตตั้งมั่นได้โดยไม่ฝืน ข้าพระองค์จึงเข้าใจว่าต้องพิจารณาว่าเหตุใดจิตจึงไม่สงบ แล้วจึงเห็นว่า มีมานะบางอย่างแทรกซึมอยู่

พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนา และตรัสว่า การรู้ทันอุปกิเลส คือทางแห่งปัญญา

ยกตัวอย่างในชีวิตประจำวัน คนเรานั่งสมาธิเพื่อให้สงบ แต่จิตกลับคิดถึงคนที่ไม่ชอบ หน้าใครบางคนผุดขึ้นในใจ ความโกรธ ความรำคาญก็เกิดขึ้น แทนที่จิตจะสงบ กลับร้อนรน นั่นคืออุปกิเลสกำลังทำงาน

หรือบางคนทำบุญแล้วอยากให้คนอื่นเห็น อยากให้ได้ชื่อเสียง เมื่อไม่ได้รับการชมเชย กลับไม่พอใจ นั่นก็เป็นอุปกิเลสแฝงในบุญนั้น

อีกตัวอย่างหนึ่ง คนที่ศึกษาธรรมะแล้วไปติเตียนคนอื่นว่าไม่รู้ ไม่มีปัญญา นั่นคืออุปกิเลสแห่งมานะกับความหลงตน แม้จะเป็นธรรมะ แต่ถ้าใช้ด้วยมานะก็กลายเป็นอุปกิเลสได้

พระสารีบุตรจึงถามว่า เมื่ออุปกิเลสแฝงในธรรมได้เช่นนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าธรรมที่เรากำลังเจริญอยู่นั้น เป็นธรรมที่ควรเจริญจริงหรือไม่

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ดูผลที่เกิดขึ้นกับจิต ถ้าเจริญแล้วจิตสงบ เบา ผ่องใส ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น นั่นคือธรรมที่ควรเจริญ แต่ถ้าเจริญแล้วจิตฟุ้งซ่าน หนักแน่น แข็งกระด้าง หยาบกระด้าง ชอบเปรียบเทียบ นั่นคือธรรมที่มีอุปกิเลสเจืออยู่ ต้องละ

พระองค์ยังตรัสว่า แม้ผู้มีปัญญามาก ถ้าไม่รู้ทันอุปกิเลส จิตก็เศร้าหมองได้ ฉะนั้นต้องสังเกตอยู่เสมอ

พระสารีบุตรจึงกราบทูลว่า ตั้งแต่บัดนั้นมา ข้าพระองค์พิจารณาเสมอว่า สิ่งใดทำให้จิตไม่เบา ไม่สงบ จะพิจารณาตัดทิ้งเสีย ไม่ถือมั่นในสิ่งใดแม้แต่ความดี ถ้าดีนั้นทำให้เราหยิ่ง ก็จะไม่ยึดถือ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดีแล้ว ดูกรสารีบุตร ผู้รู้จักละความดีที่มีอุปกิเลส ย่อมถึงความบริสุทธิ์ยิ่ง

จากคำสอนนี้ เราท่านจะเห็นว่า การเจริญธรรมใดก็ตาม ต้องไม่ดูแค่เนื้อหาว่าดีหรือไม่ แต่ต้องดูผลในใจ ถ้าจิตยังไม่สงบ ยังเศร้าหมอง ยังติด ยังยึด ยังโกรธ ยังเบียดเบียน ต้องกล้าพิจารณาและละให้ได้

ธรรมะที่แท้ คือธรรมที่นำไปสู่ความดับทุกข์ ไม่ใช่ธรรมที่ทำให้ยึดธรรม

ขอให้ทุกท่านหมั่นสังเกตจิตของตน ขณะฟังธรรม ขณะภาวนา ขณะทำความดี ถ้าเบา โปร่ง โล่ง สว่าง แสดงว่าไม่มีอุปกิเลส แต่ถ้าร้อน หนัก อึดอัด กังวล โกรธคนอื่น ต้องรู้ทัน

ขอธรรมะนี้จงเป็นแสงสว่างให้แก่จิตใจของท่านทั้งหลาย

Комментарии

Информация по комментариям в разработке

Похожие видео

  • О нас
  • Контакты
  • Отказ от ответственности - Disclaimer
  • Условия использования сайта - TOS
  • Политика конфиденциальности

video2dn Copyright © 2023 - 2025

Контакты для правообладателей [email protected]