เปิดฟังทุกวัน วิธีฝึกทิพจักขุญาณ เสียง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

Описание к видео เปิดฟังทุกวัน วิธีฝึกทิพจักขุญาณ เสียง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

"การฝึกทิพจักขุญาณโดยการฝึกจับภาพพระ"หรือ การเพ่งดูภาพ พระ เพื่อให้ภาพ พระนั้นติดในใจ นึกเห็นภาพ พระ เหมือนมองด้วยตา หลับตาก็นึกเห็นภาพ พระ ทางใจได้ ลืมตาก็นึกเห็นภาพ พระ ทางใจได้ (มีอารมณ์ใจคล้ายมีตาทิพย์ หรือ ที่เรียกกันง่ายๆทั่วไปว่า ตาทิพย์ แต่จริงๆแล้วเป็นความรู้สึกอารมณ์ทางใจ) ถ้าได้แล้วต้องฝึกใช้ให้บ่อยๆ แล้วไม่ควรใช้กำลังใจตนเองดูโน้นนี่นั่น อยากรู้อะไรให้ใช้กำลังใจถามภาพ พระจะดีกว่า และ ถูกต้องกว่า เทศน์โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

วิธีฝึกทิพจักขุญาณ

วิธีการฝึกในพระพุทธศาสนามีหลายแบบ แต่ละ แบบ มีสาระสำคัญที่ตรงกัน คือ ต้องกำหนดภาพในใจ เรื่องกำหนดภาพนี้จะเว้นไม่ได้ เพราะ เป็นเครื่องพยุงจิต ให้เข้าสู่ระดับสมาธิ จะแนะนำแบบง่ายๆที่คนส่วนใหญ่ทำได้ และ ใช้เวลาไม่นาน

1. ตัดความยุ่งในอารมณ์ออกเสียในขณะที่ฝึก ควรใช้เวลาไม่นานเกินไป ในระยะแรก อย่างมากไม่เกิน 5 นาที ในขณะนั้น ตัด กังวล ให้หมด ไม่ว่าเรื่องของความรัก เรื่องที่ไม่พอใจ อารมณ์อื่นทั้งหลาย ความง่วง และ ความสงสัย ระงับให้หมด คิดอย่างเดียวคือ คาถาภาวนา และลมหายใจเข้าออก

2. ก่อนภาวนา กำหนดรูป พระ หรือ ลูกแก้ว อย่างใดอย่างหนึ่ง รูป พระ ที่เห็นนั้น จะเป็นพระสงฆ์ หรือ พระพุทธรูปก็ได้ กำหนดเอาตามใจชอบ ถ้าจิตไปสนใจอารมณ์อื่น ต้องรีบระงับก่อน ลืมตาดูรูปพระหรือลูกแก้วเสียให้จำได้ เมื่อหลับตาก็กำหนดจิต จำพระที่จำได้นั้นตลอดไป ถ้า เห็นว่าจิตจะเลอะเลือนก็ลืมตาดูใหม่ ทำอย่างนี้ตลอดไป จนกว่าจิตจะมีอารมณ์ ชิน ไม่ว่าเวลาใด กำหนดจิตเห็นภาพพระนั้น แจ่มใส ไม่หายไปจากจิต อยู่ได้นานพอสมควร

3. ก่อนภาวนา หรือ ขณะภาวนา ต้อง กำหนดรู้ลม 3 ฐาน โดยสม่ำเสมอกัน คือหายใจเข้าลมกระทบจมูก แล้วมากระทบอก กระทบเหนือสะดือนิดหน่อย ลมหายใจออกกระทบศูนย์อก และริมฝีปากบน ใครกำหนดรู้ได้ 3 ฐาน อารมณ์จิตเป็นฌาน ถ้ารู้ 3 ฐานไม่ได้ แม้ทำมาแล้วตั้งหลายแสนปี ก็ชื่อว่ายังเป็นปุถุชน คนที่อยู่นอกวงการของฌาน ถ้ากำหนดลมได้ครบ 3 ฐาน ท่านเรียกว่า กัลยาณชน หรือสาธุชน คือคนงามหรือคนดี ได้แก่คนที่มีอารมณ์ว่างจากนิวรณ์ ในบางคราว ไม่ใช่ตลอดวัน เรื่อง ฐานลมนี้ ขอลดหย่อนผ่อนคลายไม่ได้ แต่ในระยะแรกจะกำหนด 3 ฐานไม่ได้ เพราะจิตยังไม่ชิน ให้เริ่มจับฐานใดฐานหนึ่งตามถนัดก่อน ต่อเมื่อสมาธิสูงขึ้น มันจะกำหนดรู้ของมันเองทั้ง 3 ฐานโดยไม่ต้องบังคับ

4. รักษา ศีล ให้บริสุทธิ์ เอาศีล 5 พอแล้ว ไม่ต้องถึงศีลอุโบสถ เพราะจะลำบากเกินไป

5. มีเมตตาปรานี ทรงพรหมวิหาร 4 อยู่เป็นปกติ ใหม่ๆพรหมวิหาร 4 อดรั่วไหลไม่ได้ ต้องถือเป็นเรื่องธรรมดา ค่อยปรับปรุงค่อยๆควบคุม ไม่ช้า จิตจะทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ เมื่อทรงพรหมวิหาร 4 ได้แล้ว ศีลก็บริสุทธิ์เอง สมาธิก็ทรงฌานได้ตลอดเวลา แม้แต่ขณะคุยกับเพื่อนก็สามารถเข้าฌานได้โดยฉับพลัน

เรื่องอื่นนอกจากนี้ไม่มี คาถาภาวนาให้มาแล้วค่อยๆภาวนา(พุท-โธหรือ นะ มะ พะ ทะ) ทำเอาดี ไม่ใช่ทำเอาเวลา วันแรกๆไม่ต้องมาก เอาพอสบาย สบายนานก็นั่งนาน สบายไม่นานก็เลิกเร็ว กำหนดให้เห็นภาพ รู้ลมหายใจ รู้คาถาภาวนาพร้อมๆกันไป อย่าละอย่างใดอย่างหนึ่งป็นอันขาด อย่าเว้นแม้แต่ 1 วัน

วันไหนเหนื่อยมาก เพลียมาก ร่างกายไม่ดีไม่ต้องนั่ง นอนหรือเดินก็ได้ตามต้องการ แต่อารมณ์จิต คอยจับภาพ กำหนดลม รู้คำภานา ตลอดเวลาที่ปฏิบัติ ถ้าเห็นว่าอารมณ์จิตจะรับไม่ไหวก็เลิก ปล่อยให้คิดไปตามสบาย เมื่อเห็นว่า การกำหนดจับภาพนั้น มีอาการคล้ายภาพปรากฏแก่ใจอย่างผ่องใส ก็ลองใช้จิตให้เป็นประโยชน์ คือกำหนดรู้ทิพจักขุญาณ ไม่ใช่ตาทิพย์ คำว่าญาณแปลว่ารู้ ทิพจักขุญาณก็คือรู้ทางใจ คล้ายตาทิพย์ มันเป็นอารมณ์รู้เกิดที่ใจ ไม่ใช่ที่ลูกตา นักปฏิบัติมักจะเข้าใจพลาดตรงนี้

การปฏิบัติถ้าทำได้เท่านี้ ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว ข้อควรระวังก็คือ เมื่อเวลาภาวนา ถ้ามีภาพอื่นมาแทรก นอกจากภาพที่กำหนดแล้ว อย่าสนใจ จงสนใจแต่ภาพที่กำหนดไว้เดิมเท่านั้น เมื่อเราไม่สนใจ ภาพนั้นจะคงอยู่หรือหายไปก็ช่าง เราต้องการภาพที่กำหนดรู้เท่านั้น

Комментарии

Информация по комментариям в разработке