Скачать или смотреть ความสัมพันธ์รัสเซีย ระหว่างราชวงศ์สยามและราชวงศ์รัสเซีย ทั้งสองฝ่ายเพิ่งฉลองครบรอบ 125 ปี

#ความสัมพันธ์รัสเซียไทย
มีบ่อเกิดที่น่าสนใจของความรู้สึกที่สนับสนุนรัสเซียที่ยั่งยืนในหมู่ชาวไทยจำนวนมากโดยอิงจากความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างราชวงศ์สยามและราชวงศ์รัสเซีย: กษัตริย์จุฬาลงกรณ์และซาร์นิโคลัสที่ 2 แลกเปลี่ยนการเสด็จเยือนซึ่งกันและกันในปี พ.ศ. 2452-2453; และพระเจ้าซาร์ทรงประทานสิ่งที่คนไทยจำนวนมากพิจารณาว่าเป็นการเสริมที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเอกราชของสยาม เมื่อเผชิญกับแรงกดดันของอังกฤษและฝรั่งเศสต่อพรมแดนและอธิปไตยของสยาม
โดยทั่วไปรัสเซียมีอิทธิพลน้อยมากในเอเชียโดยเฉพาะในประเทศไทย ในศตวรรษที่ 21 รัสเซียพยายามที่จะได้รับอิทธิพลจากประเทศไทยมากขึ้นในทางภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ในความพยายามที่จะขยายอิทธิพลไปทั่วภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงเศรษฐกิจ รัสเซียพยายามที่จะมีบทบาทมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพยายามที่จะยกระดับสถานะในภูมิภาคโดยเสนอตัวเองเป็นทางเลือกแทนสหรัฐฯ และจีน
การติดต่อครั้งแรกระหว่างรัสเซียและสยาม (ตามที่ประเทศไทยเคยรู้จัก) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2406 (ปฏิทินรูปแบบใหม่) เมื่อเรือรัสเซียสองลำ "เกย์ดามัก" และ "โนวิก" เกยฝั่งที่ท่าเรือกรุงเทพบนแม่น้ำเจ้าพระยา พ.ศ. 2419-2420 น.มิกลูโค-เมฆเล เสด็จเยือนประเทศไทยระหว่างเสด็จเยือนประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 สยามถือว่ารัสเซียเป็นพันธมิตรที่สามารถให้ความช่วยเหลือในการต่อสู้ของสยามเพื่อรักษาเอกราชจากการขยายอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรป ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศมีความก้าวหน้าอย่างมาก พ.ศ. 2425 กองเรือรัสเซียภายใต้การบังคับบัญชาของพลเรือตรี ABAslambekov เดินทางมายังสยามเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีราชวงศ์จักรี ในปี พ.ศ. 2431 นักดนตรีชาวรัสเซีย P.Schurovskiy ได้แต่งเพลงชาติสยามซึ่งใช้จนถึงปี พ.ศ. 2475 และต่อมาได้กลายมาเป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีของประเทศไทย มกุฎราชกุมารนิโคลัสแห่งรัสเซียเสด็จเยือนกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2434 ในปีเดียวกัน เจ้าชายสยามดำรงค์เสด็จมาที่ลิวาเดีย (ไครเมีย) ซึ่งจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซียเข้าเฝ้าพระองค์ พ.ศ. 2439 เจ้าชายจิระทรงเป็นแขกรับเชิญในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของจักรพรรดินิโคลัสที่ 2
ในระหว่างการเยือนรัสเซียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ระหว่างวันที่ 2-10 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 ความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างรัสเซียและสยามก็ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2440 นายอเล็กซานเดอร์ โอลารอฟสกี้ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอุปทูตและกงสุลใหญ่รัสเซียประจำสยาม เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2441 สถานกงสุลใหญ่รัสเซียได้เปิดทำการในกรุงเทพฯ ต่อมาได้ยกระดับเป็นคณะผู้แทนซึ่งดำเนินการจนถึงปี พ.ศ. 2460 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2442 ได้มีการลงนามปฏิญญารัสเซีย-สยามว่าด้วยเขตอำนาจศาล การค้า และการเดินเรือในกรุงเทพฯ ในด้านความสัมพันธ์ฉันมิตรและการพัฒนาการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ราชองครักษ์สยามสวมเครื่องแบบขององครักษ์รัสเซียจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1970 และองค์ประกอบบางส่วนของเครื่องแบบนี้อาจพบเห็นได้ในการแต่งกายในปัจจุบัน
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 - ต้นศตวรรษที่ 20 สมาชิกราชวงศ์ไทยและเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหนึ่งเดินทางเยือนรัสเซีย ขุนนางไทยรุ่นใหม่จำนวนมากได้รับการศึกษาในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กและมอสโก พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจักรพงษ์ประทับอยู่ในรัสเซียเป็นเวลาหลายปี ทรงศึกษาที่ Corps des Pages และ General Staff Academy รับราชการในกองทัพรัสเซีย ในปี 1906 เขาแต่งงานกับ Ekaterina Desnitskaya
การหยุดชะงักชั่วคราวของความสัมพันธ์ทวิภาคีเกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 2460 ความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างสหภาพโซเวียตและไทยสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2484 ในปี พ.ศ. 2490 ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนทางการทูต และอีกหนึ่งปีต่อมาสถานทูตรัสเซียได้เริ่มดำเนินการ เพื่อไปทำงานในเมืองหลวงของไทย ในช่วงสงครามเย็นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศพัฒนาอย่างคลุมเครือ จนกระทั่งปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 ไม่มีความขัดแย้งหรือความก้าวหน้าใดๆ ที่สำคัญเลย
ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 ผู้นำไทยเริ่มตั้งคำถามถึงภูมิปัญญาของการพึ่งพาพันธมิตรคุ้มครองกับสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว คอมมิวนิสต์ประสบความสำเร็จในอินโดจีน และบทบาทของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ลดลง ในขณะที่สหภาพโซเวียตกำลังเพิ่มการสนับสนุนคู่แข่งในภูมิภาคดั้งเดิมของไทยอย่างเวียดนาม ประเทศไทยจึงสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตกับจีนในปี พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นก้าวที่สอดคล้องกับนโยบายใหม่ในการอำนวยความสะดวกระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน สำหรับประเทศไทย แนวทางปฏิบัตินี้ดูฉลาดเมื่อคำนึงถึงภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากเวียดนาม เป็นอีกครั้งที่ความยืดหยุ่นของไทยในเรื่องความมั่นคงของชาติสะท้อนถึงความคล้ายคลึงแบบดั้งเดิมของการงอไม้ไผ่ตามสายลม



#เรื่องเล่าจากบันทึก เล่าเรื่องต่างๆที่มีสาระและน่าสนใจ ประวัติศาสตร์ ประวัติบุคคลสำคัญต่างๆ รวมถึงธรรมะคำสอนต่างๆ