กฎแห่งกรรม เรื่อง หัวอกพ่อแม่ เทพพระเจ้าของลูก

Описание к видео กฎแห่งกรรม เรื่อง หัวอกพ่อแม่ เทพพระเจ้าของลูก

#vihantaweesak#กฎแห่งกรรม#หัวอกพ่อแม่#เทพพระเจ้าของลูก# กฎแห่งกรรม เรื่อง หัวอกพ่อแม่ เทพพระเจ้าของลูก เด็กวัยรุ่นในยุคปัจจุบันนั้นส่วนมากเห็นความกตัญญู กตเวที ต่อพ่อแม่นั้นไม่สำคัญ น้อยนักที่จะรู้ซึ้งถึงจิตใจของพ่อแม่ ซ่อนความรู้สึกในส่วนลึกซึ่งมีต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของตัว ได้มอบความรักและความตามใจลูก มีไม่น้อยที่ลูกเคี่ยวเข็ญพ่อแม่ เมื่อต้องการสิ่งใดก็จะเอาให้ได้อย่างใจ หากพ่อแม่ขัดใจก็โกรธ ทำกิริยาท่าทางกระฟัดกระเฟียด หน้างอทำกระเง้ากระงอดบางคนใช้กริยาดุด่าพ่อแม่เหมือนทาส เพราะจะต้องการสิ่งใดก็จะให้พ่อแม่หามาให้ได้อย่างใจตน
ท่านได้พบเห็นลูกชนิดนี้แล้วก็ต้องเศร้าใจ ผู้ใหญ่สมัยก่อนยกมือท่วมหัวพลางอธิษฐานในจิตว่า เกิดมาชาติใดฉันใดก็ขออย่าให้พบลูกชนิดนี้เลย ขอให้ห่างไกลออกไปร้อยโยชน์แสนโยชน์ ทำบุญกรวดน้ำคว่ำกะลา ขออย่ามาเกิดเป็นลูกเป็นเต้ากันเลย และพ่อแม่บางคนก็รักลูกจนหลง ถูกลูกดุก็งกๆ เงิ่นๆ เพราะตามใจลูกจนเคยตัว เคราะห์ดีที่ลูกพวกนี้ ไม่ค่อยจะมีมากนัก นานๆ ก็เคยพบเคยเห็นสักครั้งหนึ่ง
ทำให้คิดว่ามนุษย์เรานี้ มีนิสัยแปลกแตกต่างกันไป เห็นพ่อแม่เป็นขี้ข้าก็มี แต่พวกนี้ไม่มีสิริมงคลและไม่เจริญ ส่วนพวกที่เห็นพ่อแม่เป็นพระที่ควรยกย่องบูชาก็มี พวกนี้จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองเพราะความกตัญญูกตเวที ก็เห็นจะเป็นกุศลและอกุศลธรรมในอดีตที่ติดตามมาสนอง แต่สิ่งที่เราท่านเคยเห็นเป็นตัวอย่างมากมาย คนทำชั่วหนีไม่พ้นอกุศลกรรมอันนี้แน่นอน
หากลูกคนใดใจชั่วด่าว่าพ่อแม่ คนสมัยก่อนมักกล่าวว่า ใช้พ่อแม่เหมือนทาสในเรือนเบี้ย ซึ่งเป็นมาแต่ครั้งโบราณตลอดมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ ทั้งที่เคยได้เห็นเองบ้าง และผู้อาวุโสเล่าให้ฟังบ้าง คนที่ดุด่าว่าพ่อแม่ คนผู้นั้นหากมีลูกต่อไป ก็จะถูกลูกดุด่าว่าสืบสันดานชั่วเช่นเดียวกัน หนีไม่พ้นแน่นอน เมื่อพูดถึงความกตัญญูกตเวทีแล้ว ก็อดคิดถึงประวัติของท่าน ธัมฺมะวิตักฺโก หรือ ท่านเจ้าคุณพระยานรรัตนราชมานิต ซึ่งจะขอยกให้ท่านว่าเป็น “ยอดแห่งความกตัญญู” ทำให้นึกถึงบทความฉบับหนึ่ง แม้จะไม่ลงนามมาก็ดี แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว เห็นว่า ควรจะหยิบยกบางตอนขึ้นมาให้ได้รู้ว่า พระคุณหัวอกของผู้ที่เป็นพ่อแม่นั้น คนในยุคปัจจุบันนี้ มักจะมองข้ามไป ไม่ไยดีที่จะนำมาพิจารณาหาเหตุผล แต่เรื่องนี้ได้เมื่ออ่านแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าท่านผู้เป็นเจ้าของเรื่องนี้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ทราบได้ แต่ก็ไม่สำคัญอะไร เพราะเราเพียงต้องการตัวอย่างผู้ที่หูตาสว่างขึ้นจากการหลงผิด คำว่า ข้าพเจ้า ต่อไปนี้โปรดอย่าเข้าใจว่าผู้อ่านนะครับ ขอให้ทราบว่าเป็นคำแทนตัวผู้เป็นเจ้าของบทความนะครับ หรือบทความฉบับหนึ่งในจำนวนมากมายตอนหนึ่งมีใจความมีอยู่ว่า..... ข้าพเจ้ารู้ตัวภายหลังเมื่อหูตาสว่างแล้วว่า เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานที่ผิดทาง ความจริงเรากำลังศึกษาชั้นสูงของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่เพื่อนข้าพเจ้าส่วนมากพ่อแม่เขาส่งไปชุบตัวเองที่เมืองนอก จะมีความรู้ติดตัวมามากน้อยเพียงใดไม่ต้องพูดถึง เพราะบางคนก็ไม่ได้ดีกรีอะไรกลับมาเลย แต่บางคนก็ได้ปริญญาชั้นสูงกลับมา แล้วแต่บุคคล ความประพฤติ และสติปัญญา แต่เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว ก็รู้สึกว่าออกจะแสดงตัวว่าสูงกว่าพวกคนอื่นๆ เพราะได้ผ่านเมืองนอกมา สำหรับข้าพเจ้าเห็นพ่อแม่เขาส่งลูกๆ ซึ่งเป็นเพื่อนไปหลายๆคน ตนเองก็เกิดอยากจะไปเมืองนอกกับเขาบ้างเหมือนกัน จึงรบเร้าพ่อแม่ผู้ปกครอง ขอให้จัดส่งไปเรียนเมืองนอก เพื่อจะได้ไปชุบตัวเหมือนอย่างเพื่อนๆ เขาบ้าง ข้าพเจ้าได้พยายามอ้อนวอนพ่อแม่ ขอให้จัดส่งข้าพเจ้าไปศึกษายังต่างประเทศ โดยได้ติดต่อทางมหาวิทยาลัยต่างประเทศเตรียมไว้ก่อนแล้ว จากการแนะนำของเพื่อนที่เคยผ่านต่างประเทศมาแล้ว ความจริงฐานะทางบ้านของข้าพเจ้า เมื่อทราบภายหลังก็ไม่ได้มีเงินทองมากมายนัก เพียงแต่พอมีพอใช้ แต่ความทะเยอทะยาน ความอยากมุ่งมั่นใจจะไปให้ได้ มิได้พิจารณาถึงความลำบากของพ่อแม่ผู้ปกครองจะมีเพียงใดไม่เคยคิด และยังนึกอยู่เสมอว่า พ่อแม่เรามีเงินพอที่จะส่งให้ไปศึกษาต่อเมืองนอกได้ ความอยาก ความเห็นแก่ตัวตามอารมณ์เป็นใหญ่ เพราะพ่อแม่ตามใจข้าพเจ้าจนเคยตัว จึงอยากหาทางไปชุบตัวให้เหมือนเพื่อนๆ เขาบ้าง ไม่อยากให้น้อยหน้าเพื่อน คิดว่าเมื่อสำเร็จมาจากต่างประเทศแล้ว รู้สึกว่าคงโก้เก๋ เดินไปไหนตัวคงสูงเด่นกว่าธรรมดาแน่ๆ ทีเดียว เพราะเขาคงเรียกว่า “หัวนอก” ดูเป็นเรื่องของความรู้สึก อย่างคิดไปตามอารมณ์เหมือนเด็กไม่เดียงสาในเวลานั้น เอาอะไรก็จะเอาให้ได้อย่างใจ ไม่ยอมให้ขัดใจ เพราะพ่อแม่รักและตามใจจนเคยตัวนิสัยเสีย จะพูดให้ถูกก็คิดว่าเวลานั้นเป็นโรคอยากไปเมืองนอกขึ้นสมอง เมื่อจบทางเมืองไทยแล้วข้าพเจ้าก็เคี่ยวเข็ญู ขอเงินพ่อแม่เป็นค่าเครื่องบินค่าใช้จ่าย การกินอยู่ศึกษาในต่างประเทศ คิดแล้วเป็นเงินไม่น้อยต่อปี รู้สึกว่าพ่อแม่เคยตามใจข้าพเจ้าก่อนแล้วคงไม่ขัดอะไร แรกๆ ก็บอกว่าลูกเรียนจบในนี้ก็พอแล้ว อย่าไปเรียนเมืองนอกเลย เรียนเมืองนอกไม่ได้วิเศษมาทุกคนเมื่อไหร่ เรียนในนี้ดีกว่าเมืองนอกมีถมไป นอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายแพงมากมายแล้ว พ่อแม่ก็ไม่ยากให้ลูกห่างไกล เพราะเราไม่เคยจากกันนานๆ พ่อแม่เป็นห่วงคิดถึงอยู่นะ ข้าพเจ้าก็เถียงว่า ลูกโตแล้วพ่อแม่ไม่ต้องห่วง ทีลูกของคนอื่นๆ ทำไมพ่อแม่เขาจึงไม่ห่วง เขาก็ไปกันได้ พ่อแม่เขาไม่เคยคิดอย่างพ่อแม่เลย เขากลับสนับสนุนไม่เห็นเขาเป็นห่วงเลย

Комментарии

Информация по комментариям в разработке