ปุ๋ยทางใบ Foliar fertilizer คืออะไร ใช้ทำไม ใช้เมื่อไร ใช้อย่างไร ปุ๋ยเกล็ด ปุ๋ยน้ำใช่ไหม

Описание к видео ปุ๋ยทางใบ Foliar fertilizer คืออะไร ใช้ทำไม ใช้เมื่อไร ใช้อย่างไร ปุ๋ยเกล็ด ปุ๋ยน้ำใช่ไหม

๐ ปุ๋ยทางใบ (Foliar fertilizer) คืออะไร
ปุ๋ยทางใบ (Foliar fertilizer) คือ ปุ๋ยที่ใช้ในรูปแบบของเหลว อาจเป็นปุ๋ยน้ำ ปุ๋ยเกล็ดที่ละลายน้ำ ให้อยู่ในรูปของเหลวจนสามารถฉีดพ่นเป็นละอองฝอยไปยังใบไม้ของพืชเพื่อให้พืชสามารถดูดซับสารอาหารผ่านทางใบของพืช

๐ ปุ๋ยทางใบ (Foliar fertilizer) ใช้ทำไม
การใช้ปุ๋ยละลายช้ามิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนธาตุอาหารที่ได้จากความอุดมสมบูรณ์ของดิน แต่ใช้เพื่อทดแทนการขาดธาตุอาหารของพืชแบบปัจจุบันทันด่วน โดยอาศัยข้อได้เปรียบของปุ๋ยเกล็ดที่สามารถดูดซึมเข้าทางใบได้รวดเร็วกว่าทางรากและผ่านทางลำต้นของพืช ประสิทธิภาพของการดูดซึมของสารอาหารนั้นถือว่าสูงกว่า 8-9 เท่าเมื่อสารอาหารถูกนำไปใช้กับใบเมื่อเทียบกับสารอาหารที่ใช้กับดิน ทำให้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งสำหรับการแก้ไขข้อบกพร่องหรืออาการขาดธาตุอาหารของพืช ซึ่งการการแก้ไขผ่านการเติมปุ๋ยทางดินอาจใช้เวลาหลายวันในการรับอาหารของพืช

๐ ปุ๋ยทางใบ (Foliar fertilizer) ใช้เมื่อไร
สถานการณ์หรือเงื่อนไขบางประการที่ควรเลือกใช้การให้อาหารทางใบแทนที่การเติมปุ๋ยลงในดิน

1. การดูดซึมสารอาหารผ่านทางรากทำได้จำกัด อาจมาจาก ค่า pH ดินสูงหรือต่ำ (ห้ามอาหารของพืชบางชนิดจะมีความเป็นประโยชน์ลดลงเมื่อพีเอชเพิ่มขึ้นทั้งนี้เพราะการละลายน้ำได้ลดลงและการดูดยึดของดินเพิ่มขึ้น) ความเครียดของอุณหภูมิต่ำหรือสูงเกินไป ความไม่สมดุลของสารอาหารในดิน เกิดโรคทางราก หรือมีการโจมตีของศัตรูพืชที่มีผลต่อการดูดซึมสารอาหารของพืช เป็นต้น สาเหตุเหล่านี้ทำให้ปริมาณจุลธาตุ (Micronutrient) ที่มีอยู่ในดินลดน้อยลงมาก ซึ่งจุลธาตุ (Micronutrient) เป็นกลุ่มของธาตอุาหารพืชที่พืชต้องการในปริมาณน้อย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไม่จำเป็นต้องเติมลงไปในดิน เพราะหินที่เป็นสารต้นกำเนิดดิน นั้นมีธาตุเหล่านี้ปอกอยู่ด้วยดินโดยทั่วไปจึงมีธาตุอาหารในกลุ่ม จุลธาตุอย่างเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยทั่วไปเช่นเดียวกัน จุลธาตุที่ปรากฎหลักฐานการศึกษาวิจัยว่าพืชต้องการธาตุอาหารเหล่านี้ในการเจริญเติบโตของพืชอยู่เป็นประจำ มีอยู่จำนวน 6 ธาตุ ประกอบด้วย เหล็ก (iron-Fe) แมงกานีส (manganese-Mn) ทองแดง (copper-Cu) สังกะกะสี (zinc-Zn) โบรอน (boron-B) โมลิบเดนัม (molybdenum-Mo) อย่างไรก็ตามมีการศึกษากันว่ามีธาตุอีก 3 ธาตุที่พืชต้องการแล้วจัดอยู่ในกลุ่มจุลธาตุ ด้วยเช่นเดียวกัน คือ คลอรีน (chlorine - Cl) โคบอลต์ (cobalt - Co) และนิเกิล (nickel - Ni)

2. พืชแสดงอาการขาดสารอาหาร (Nutrient deficiency symptoms) ออกมาให้เห็นในรูปแบบต่าง ๆ เฉพาะอย่างยิ่งอาการขาดธาตุอาหารนั้นแสดงให้เห็นอย่างรวดเร็ว ให้อาหารหรือปุ๋ยผ่านทางใบจะช่วยแก้ไขอาการเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็วขึ้น

3. พืชอยู่ในช่วงที่มีการเจริญเติบโตบางด้านที่จำเพาะเจาะจง ซึ่งในการเจริญเติบโตขั้นตอนต่างๆของพี่นั้นมีความต้องการธาตุอาหารที่แตกต่างกันไป เติมอาหารเข้าไปให้พืชในช่วงระยะเวลาที่ Pages นั้นมีความต้องการจะทำให้การเจริญเติบโตในด้านนั้นนั้นทำได้ดีขึ้นสามารถเพิ่มผลผลิตในด้านที่ต้องการจากพืชได้เป็นอย่างดีเนื่องจากการดูดซึมธาตุอาหารเข้าทางใบของพืชนั้น ทำได้ดีกว่าการดูดซึมจากทางราก

ข้อจำกัดของการให้อาหารพืชทางใบ

1. ดูดซึมได้ปริมาณจำกัด สารอาหารที่ให้ผ่านทางใบไม่สามารถตอบสนองความต้องการสารอาหารทั้งหมดของพืช

2. อาจมีความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity) การใช้อาหารทางใบ โดยใช้สารละลายที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อฉีดพ่นผ่านทางใบอาจส่งผลให้เกิดการเผาไหม้ของใบไม้ เนื่องจากน้ำระเหยและเกลือยังคงค้างอยู่บนใบ

3. ค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity) ทางใบการให้อาหารทางใบของพืชจึงจำเป็นต้องให้เลยปริมาณเพียงเล็กน้อยแต่ต้องมีความถี่ในการฉีดพ่นหรือการให้ธาตุอาหารบ่อยครั้งขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการให้ธาตุอาหารอย่างเข้มข้นผ่านทางราก การให้อาหารพืชผ่านทางใบจึงมีต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามาก

๐ ปุ๋ยทางใบ (Foliar fertilizer) ใช้อย่างไร

วิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพของการให้อาหารทางใบ

ปัจจัยต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการให้อาหารทางใบ:

1. ค่า pH ของสารละลายที่ฉีดพ่นทางใบ (pH of the foliar spray solution) - สารอาหารต้องอยู่ในรูปแบบที่ละลายน้ำได้เพื่อให้พืชสามารถดูดซับได้ pH มีผลต่อการละลายของสารอาหาร และการมีปฏิสัมพันธ์กับส่วนประกอบอื่น ๆ ในน้ำ โดยทั่วไปแล้วค่า pH ที่เป็นกรดช่วยเพิ่มการซึมเข้าของสารอาหารผ่านพื้นผิวใบไม้ ค่า pH มีผลต่อประจุของผิวมันที่เคลือบคลุมใบ ค่า pH ส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้าบนผิวใบของพืช และค่า pH อาจส่งผลต่อความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity) ของสารอาหารที่ฉีดพ่น

2. การใช้สารลดแรงตึงผิว (Surfactants) - สารลดแรงตึงผิว จะทำให้สารอาหารไม่ถูกจับตัวในรูปหยดน้ำเกาะบนใบพืชแต่จากแผ่ครอบคลุมบนผิวใบซึ่งทำให้ธาตุอาหารมีโอกาสในการซึมและแลกเปลี่ยนเข้าผ่านทางปากใบได้มากกว่า

3. ช่วงเวลาในการฉีดพ่น - เวลาที่ดีที่สุดในการให้อาหารทางใบ คือในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น โดยอาจพิจารณาช่วงที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 27 ° C ซึ่งเป็นช่วงที่ปากใบเปิด ไม่แนะนำให้อาหารทางใบ ในช่วงที่มีอุรหภูมิเกิน 27 ° C เพราะพืชจะมีอัตราการคายน้ำสูงมาก ๆ กลไกลของพืชจะปิดปากใบลง

4. ขนาดละอองฝอย (Droplet size) - การให้อาหารทางใบโดยการฉีดพ่นละอองฝอยให้ได้ครอบคลุมพื้นที่ผิวใบนั้นจะได้ผลดีกว่าการมีละอองหรือหยดน้ำขนาดใหญ่ ขนาดละอองที่เหมาะสมควรมีขนาดใหญ่กว่า 100 ไมครอน ถึง 250 ไมครอน และเพิ่มประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันทางใบ อย่างไรก็ตามเมื่อหยดเล็กเกินไป (น้อยกว่า 100 ไมครอน) อาจปลิวไปตามลมมากกว่าจับเกาะบนใบพืชได้

5. ปริมาณฉีดพ่น (Spray volume) - ปริมาณฉีดพ่นมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารทางใบ ปริมาณฉีดพ่นต้องเป็นไปอย่างเพียงพอที่จะครอบคลุมใบพืชอย่างเพียงเต็มที่ แต่มิใช่ให้มากเกินไปจนไหลอาบใบไหลทิ้งไปโดยปล่าวประโยชน์

Комментарии

Информация по комментариям в разработке