Скачать или смотреть รักสี่เส้าเป่าจือหลิน 4 เจาะชีวิตหลี่เหลียนเจี๋ย จากเด็กกำพร้า สู่การเป็นแอ็คชั่นสตาร์พันล้าน

( SEO ) ฝากกดไลค์ กดแชร์ สับตะไคร้ กดกระดิ่งช่องยูทู้บด้วยนะครับ ทุกคลิปตั้งใจทำอย่างประณีตเพื่อผู้ชม จะได้มีกำลังใจทำคลิปดี ๆ มาฝากกันทุกวัน
ขอบคุณคร้าบบบ    / @konbanung  

หลี่เหลียนเจี๋ย หรือที่คนทั่วโลกรู้จักกันในชื่อ เจ็ท ลี คือหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์กังฟูแห่งโลกตะวันออก เขาไม่ใช่แค่ดารานักบู๊ระดับตำนาน แต่ยังเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมจีนร่วมสมัยที่สามารถก้าวข้ามจากฮ่องกงสู่ฮอลลีวูดอย่างสง่างาม ตลอดชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการต่อสู้ทั้งในจอภาพยนตร์และนอกจอ ทั้งโรคร้าย การสูญเสีย ความศรัทธาในธรรมะ และการเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่ายหลังผ่านพ้นจุดสูงสุดของวงการ

หลี่เหลียนเจี๋ยเกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน 1963 ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ครอบครัวของเขายากจน พ่อเสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุเพียงสองขวบ แม่ต้องเลี้ยงดูลูกทั้งห้าคนด้วยตัวคนเดียว ความลำบากในวัยเด็กทำให้หลี่มีจิตใจที่แข็งแกร่งและมีวินัยอย่างน่าทึ่ง เขาเข้าสู่วงการศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ โดยได้รับการฝึกฝนวูซูอย่างเข้มงวดในระบบของรัฐจีน และกลายเป็นแชมป์วูซูระดับชาติถึงห้าปีซ้อน เขาถูกยกย่องว่าเป็น "เทพแห่งวูซู" และมีโอกาสเดินทางไปโชว์ศิลปะการต่อสู้ยังต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งรวมถึงการแสดงต่อหน้าประธานาธิบดีสหรัฐในเวลานั้น จิมมี่ คาร์เตอร์

ปี 1982 คือจุดเปลี่ยนสำคัญ หลี่ได้รับเลือกให้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง "เสี่ยวลิ้มยี่ (Shaolin Temple)" ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในประเทศจีน และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจกังฟูอีกครั้ง ความนิยมของเขาทะลุเพดานและต่อยอดด้วยภาคต่ออีกสองภาค เสี่ยวลิ้มยี่ 2 และ 3 ที่ตอกย้ำสถานะซูเปอร์สตาร์ของหลี่ในตลาดเอเชีย

ตลอดช่วงทศวรรษ 1990 เขาได้แสดงในภาพยนตร์กังฟูระดับตำนานอีกมากมาย เช่น "หวงเฟยหง (Once Upon a Time in China)" ทั้ง 3 ภาค ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของวีรบุรุษจีนในสมัยราชวงศ์ชิง ต่อด้วย "ฟ่งไสหยก (Fong Sai-Yuk)" ภาค 1-2 และ "เดชคัมภีร์เทวดา ภาค 2 (Swordsman II)" ที่เขาแสดงนำคู่กับหลินชิงเสีย นอกจากนี้ยังมีเรื่อง "มังกรไท้เก๊ก คนไม่ยอมคน (The Tai Chi Master)", "ห้าพยัคฆ์เสียวลิ้มยี่ (The New Legend of Shaolin)", และ "เล็บเหล็กหวงเฟยหง (Last Hero in China)" ซึ่งล้วนแต่ตอกย้ำทักษะการต่อสู้และเสน่ห์บนจอของเขา

แม้เขาจะประสบความสำเร็จอย่างมากในฮ่องกง แต่หลี่ก็ไม่ได้หยุดแค่ในเอเชีย ปี 1998 เขาเปิดตัวในฮอลลีวูดด้วยบทวายร้ายในภาพยนตร์เรื่อง "Lethal Weapon 4" ซึ่งทำให้เขาเป็นที่จับตามองในวงการหนังฝั่งตะวันตก จากนั้นเขารับบทนำใน "Romeo Must Die (2000)", "Kiss of the Dragon (2001)", "The One (2001)", และ "Cradle 2 the Grave (2003)" ทุกเรื่องล้วนประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์และช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับพระเอกแอ็คชั่นเชื้อสายเอเชียในระดับโลก

แต่ภาพยนตร์ที่ถือเป็นผลงานอันทรงพลังและใกล้ตัวเขาที่สุดคือ "Fearless (2006)" หรือชื่อไทยว่า "ฮั้วหยวนเจี๋ย" ซึ่งหลี่กล่าวว่าเป็นการแสดงภาพยนตร์แอ็คชั่นแนวกังฟูเรื่องสุดท้ายของเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่พูดถึงทักษะการต่อสู้ แต่ยังสำรวจแก่นแท้ของจิตวิญญาณนักสู้ ความกล้าหาญ การอภัย และการละวาง ซึ่งสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของหลี่หลังจากเข้าสู่โลกของเซนและธรรมะ

หลังจากนั้นหลี่เลือกแสดงในภาพยนตร์ที่แตกต่างไปจากเดิมมากขึ้น เช่น "Ocean Heaven (2010)" ที่เขารับบทพ่อของเด็กออทิสติกในภาพยนตร์ดราม่าที่ไม่มีฉากบู๊แม้แต่ฉากเดียว เขาให้เหตุผลว่า ต้องการให้ผู้ชมเห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตและหัวใจของเขา นอกจากนี้ยังมี "The Sorcerer and the White Snake (2011)", "Flying Swords of Dragon Gate (2011)", และ "The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor (2008)" ที่แสดงให้เห็นว่าเขายังสามารถผสมผสานบทบาทแฟนตาซีเข้ากับบุคลิกของยอดนักสู้ได้อย่างแนบเนียน

ในช่วงปี 2010 หลี่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ (hyperthyroidism) ซึ่งส่งผลให้สุขภาพเขาทรุดโทรมลงอย่างมาก น้ำหนักลด กล้ามเนื้อฝ่อลีบ เขาแทบไม่สามารถต่อสู้หรือเล่นฉากแอ็คชั่นได้อีก ความเจ็บป่วยครั้งนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ในชีวิต ทำให้หลี่หันมาอุทิศตนให้กับธรรมะและการกุศล เขาเป็นพุทธศาสนิกชนสายเซนอย่างเคร่งครัด และเคยให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ต้องการเป็นพระเอกแอ็คชั่นอีกต่อไป เขาพบความสงบในความเรียบง่าย และความสุขที่ไม่ต้องมาจากชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน

แม้จะมีข่าวลือมากมายว่าเขาเสียชีวิต หรือสุขภาพย่ำแย่จนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ แต่หลี่ได้ออกมาแสดงตัวในกิจกรรมการกุศลและให้สัมภาษณ์กับสื่ออยู่เป็นระยะ เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์อย่าง "League of Gods (2016)" และปรากฏตัวอย่างสง่างามใน "Mulan (2020)" ของดิสนีย์ในบทจักรพรรดิแห่งจีน ซึ่งถือเป็นการหวนกลับมาอย่างสมเกียรติ

หลี่เหลียนเจี๋ยไม่ใช่แค่ดาราหนัง แต่เป็นบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจในหลายแง่มุม ทั้งการไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก การยืนหยัดในคุณค่าของวัฒนธรรม การสู้กับโรคร้ายอย่างกล้าหาญ และการเลือกเดินบนหนทางแห่งจิตวิญญาณในวันที่ชีวิตไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้แสงไฟ เขาคือภาพสะท้อนของชายผู้เคยเป็นฮีโร่ในจอ และยังคงเป็นฮีโร่ในหัวใจของผู้คนเสมอ

Music by: PeriTune
Original track: Epic Chinese Music Wuxia   • Видео  

Motion Backgrounds by: "#AAvfx"
   / dvdangor2011