สติที่เห็นว่าภายในกายไม่มีคน การรับรู้ของจิตก็เป็นสักแต่ว่า ไม่มีเรา พอจเกียรติศักดิ์ วรธัมโม 5 กค67

Описание к видео สติที่เห็นว่าภายในกายไม่มีคน การรับรู้ของจิตก็เป็นสักแต่ว่า ไม่มีเรา พอจเกียรติศักดิ์ วรธัมโม 5 กค67

เรื่อง สติที่เห็นความจริงว่าภายในกายไม่มีคน จิตจะรับรู้เรืองอะไรก็เป็นสักแต่ว่า ไม่มีเรา
กิเลสมันไม่ได้อยู่ในร่างกาย อยู่ในจิตใจ การดูจิตใจดูตอนมันกระเพื่อมออก สัมผัสชั่ววูบเดียว ถ้าเราขาดสติมันก็เกิด อารมณ์เกิด ภพชาติเกิด ความคิดทุกอย่าง ความรู้สึกทุกอย่าง รู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา รู้สึกว่าจิตใจเป็นเรา มันหลง ถ้าจิตใจของเราเห็นว่าร่างกายไม่เที่ยง เป็นธาตุ 4 รู้ชัด เห็นว่าจิตใจนี้ก็ไม่เที่ยง เป็นธาตุรู้เท่านั้น ทั้งร่างกายทั้งจิตใจนี้ไม่แยกหญิงแยกชาย ทั้งวัตถุต่างๆ ก็ไม่แยกชนิด เป็นธาตุอันเก่านั่นแหละ จิตนี้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างชัดเจน จึงสามารถดำรงสติให้คงมั่นได้ในทุกอิริยาบถ เหตุฉะนั้นการศึกษาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้เพื่อทราบความจริง เมื่อทราบความจริงแล้ว ความรู้ความเข้าใจต่างๆ เหล่านั้นมันจะมารวมอยู่ที่สติ เป็นสัมมาสติโดยที่ไม่ต้องปรุงแต่งขึ้น หากเป็นการระลึกรู้อยู่ทุกขณะ รู้เท่าทันร่างกาย รู้เท่าทันจิตใจ มีความเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา มีความเห็นว่าจิตใจนี้ก็ไม่ใช่เรา เป็นธาตุ ไม่เป็นผู้หญิง ไม่เป็นผู้ชาย เรียกว่า สุญโญ สัพโพ สัจธรรมที่แท้จริงแล้วไม่แยกหญิง ไม่แยกชาย ที่นั่งกันอยู่ที่นี่ ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย ไม่มีผู้บวช ไม่มีผู้ไม่บวช ที่นั่งกันอยู่ที่นี่ ในศาลานี้ ผู้หญิงก็ไม่มี ผู้ชายก็ไม่มี มีแต่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ที่เรียกกันว่า สักแต่ว่าธาตุดิน สักแต่ว่าธาตุน้ำ สักแต่ว่าธาตุลม สักแต่ว่าธาตุไฟ ดวงจิตดวงใจนี้คือวิญญาณธาตุ ก็ไม่แยกหญิงไม่แยกชายเหมือนกัน เป็นธาตุรู้ ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย ธรรมบอกว่าที่นั่งกันอยู่ที่นี่ ผู้หญิงก็ไม่มีสักคน ผู้ชายก็ไม่มีสักคน คนก็ไม่มีสักคน มีแต่สักแต่ว่าธาตุรู้กับธาตุไม่รู้เท่านั้นแหละ ไม่มีคน ถ้าปักใจเชื่อลงไปในหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว เราจะทราบความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีใครสักคน สุญโญ สัพโพ ว่างจากสัตว์ ว่างจากบุคคล ว่างจากชื่อ ว่างจากสิ่งต่างๆ แม้แต่มีสิ่งต่างๆ โดยวัตถุหรือรูปร่าง สิ่งที่มีชีวิตมีวิญญาณครองเหมือนคนอย่างเราและสัตว์ หรือสิ่งที่มีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณครองเหมือนต้นไม้ในป่านี้ ที่ยังยืนต้นออกดอกออกใบออกผลได้ หรือเป็นสิ่งที่ไม่มีทั้งชีวิตไม่มีวิญญาณครองเหมือนอย่างศาลาหลังนี้ ตึกรามบ้านช่อง ยานพาหนะ โต๊ะ เตียง ตั่ง ของใช้เครื่องถือ ไม่มีชีวิต ไม่มีวิญญาณครอง เป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุทั้งนั้นแหละ ถ้าฝึกจิตใจของเราให้มีความเห็นเช่นนี้ได้แล้ว ขณะที่มันสัมผัส ที่มันรับรู้รับเห็น รู้สึกสัมผัสถูกต้อง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เครื่องสมบัติต่างๆ เหล่านี้แล้ว มันก็มีสติตลอดเวลา ขณะที่เคลื่อนไหว ขณะที่จับต้องอะไร มันก็เห็นอยู่ตลอดเวลา มันเป็นสักแต่ว่าธาตุ ไม่ใช่คน ไม่ใช่วัตถุ จะเห็นคนไม่เป็นคน ภายนอกก็ใช้ภาษาคนทั่วไป เรียกว่า บุคลาธิษฐาน แต่ในจิตไม่มีคน มีแต่ธาตุ เราก็ไม่มี เขาก็ไม่มี เหตุฉะนั้นแล้วการศึกษา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อจะให้จิตนี้มีความเข้าใจมีความรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลตัวตนที่ไหน ธรรมท่านกล่าวไว้ว่า ที่นั่งกันอยู่ที่นี่ถ้าเป็นบุคลาธิษฐานคือภาษาคนที่พูดกันทั่วไป มันก็มีผู้หญิง ผู้ชาย มันก็มีคนเฒ่า คนแก่ คนหนุ่ม คนสาว มีคนชื่อว่าอย่างนั้น มีคนชื่อว่าอย่างนี้ พูดกันตามหน้าที่ พูดกันตามภาษาสื่อสาร ของบุคลาธิษฐาน นี่หมายถึงภายนอก แต่ภายในจิตของท่านผู้รู้ความจริงแล้วไม่มีคน ตัวท่านเองก็ไม่มี ใครๆ ก็ไม่มี ผู้บ่นก็ไม่มี ผู้ไม่บ่นก็ไม่มี เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ทุกขณะที่มีการสัมผัสถูกต้อง เรียกว่า ตามันคู่กับรูป หูมันคู่กับเสียง จมูกมันคู่กับกลิ่น ลิ้นมันคู่กับรส กายมันคู่กับสัมผัสผ่านผิวหนัง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ละมุนละไม มันก็จะรู้แก่ใจนี้เลยว่าเป็นสักแต่ว่า เป็นสักแต่ว่า รู้สึกในกายก็ไม่ใช่เรา มองเห็นคนอื่นก็ไม่ใช่เขา เป็นธาตุไปหมด เป็นธาตุอันเดียวกัน เป็นธาตุอันเก่านั่นแหละ นี่เรียกว่า วิปัสสนาชั้นปรมัตถ์ มีความรู้แก่ใจ เมื่อสัมผัสถูกต้องอย่างนี้แล้ว เห็นอย่างนี้แล้ว มันก็ไม่คล้อยตามไป มันก็ไม่ได้กล่าวว่าสวยว่างาม ว่าดีว่าร้ายอะไร มันก็เป็นธาตุอันเก่านั่นแหละ ธรรมอย่างนี้จึงเรียกว่าเห็นคนไม่เป็นคน เห็นสัตว์ไม่เป็นสัตว์ เป็นสักแต่ว่าธาตุ เป็นสักแต่ว่าธาตุไป ถ้าลงด้วยเหตุผลเช่นนี้แล้ว ทุกขณะที่มีการรับรู้อยู่นี้สติมันจะหายไปไหน ไม่หายไป เหตุฉะนั้นการพิจารณาสมถวิปัสสนาญาณหรือการทำทุกอย่างเหล่านี้ เพื่อความสงบของใจที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะบุญทานการกุศลทำเพื่อความสงบ ไม่ใช่สงบนิ่ง แต่จุดมุ่งหวังของการกระทำเช่นนี้คือการสงบจากความยึดมั่นถือมั่นว่าชีวิตนี้เป็นของเรา ทั้งๆ ที่ว่าชีวิตนี้เป็นของชีวิต มันก็ยืนได้ เดินได้ ทุกก้าวเดินนั้นมีแต่รู้กับเดิน ไม่มีเรา ทุกความคิดมีแต่รู้กับคิด ไม่มีเรา ทุกความรู้สึกสบายกับไม่สบายมีแต่รู้กับสบายกับไม่สบาย ไม่มีเรา ผู้ชายคนหนึ่งก็ไม่มี ผู้หญิงคนหนึ่งก็ไม่มี นี่คือความเห็นที่ถูกต้อง และความเห็นชนิดนี้ทุกประเภทควบคุมจิตใจไม่ได้ จึงเรียกว่า จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้ จิตตัง คุตตัง สุขาวะหัง จิตที่ปกป้องรักษาคุ้มครองไว้ดีแล้วนำความสุขมาให้ ความสุขที่ได้กล่าวมานี้เรียกว่า นิรามิสสุข คือความสุขที่ปราศจากอามิส ไม่มีความหลงชนิดไหนเคลือบแคลงอีก เหตุฉะนั้นแล้วการศึกษา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้สมควรมีทุกขณะ ยิ่งพิจารณาเห็นชัดไปเท่าไหร่ จิตก็ยิ่งห่างหายจากความยึดมั่นถือมั่นได้ชัดเท่านั้น เร็วเท่านั้น การที่จะทรงสติได้ทุกขณะ ต้องประกอบไปด้วยปัญญาเห็นชอบอย่างนี้ ถ้าเกิดว่าเราไม่พิจารณาถึงความเป็นจริงของสัจธรรมทั้งอัตภาพร่างกายเรา อยู่ดีๆ จะมาตั้งสติขึ้นมามันเผลอ มันเผลอเพราะอะไร เพราะว่าปัญหาข้อกังขาหรืออำนาจความหลงยังไม่หมดไป มันก็มีบ้าง ไม่มีบ้าง จะให้สติปัญญาเป็นสติมรรคมันเป็นได้ยาก ได้เพียงแต่สติในการดำรงชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง แต่ไม่ให้เกิดมรรคาปฏิบัติ พิจารณาที่นี่ เมื่อพิจารณาเบื้องต้นก็ต้องฝึกให้มีสติในการรู้ตัวตลอด ฝึกให้มีสติในการเคลื่อนไหวตลอด

Комментарии

Информация по комментариям в разработке